21 May 2008

) สรุปข้อสนเทศ :TTW (แก้ไขข้อมูลเงินปันผลในตารางสถิติ)

วันที่ 11 มิ.ย. 2550 ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่ ร้อยละ 46.39 และ อาจเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ วันที่ 12 ก.ย. ของบริษัทคือ กลุ่ม ช.การช่าง เดิม 2550 ร้อยละ 4.17 เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ประปา ตามลำดับ ปทุมธานี ซึ่งประกอบธุรกิจเดียวกัน - กรรมการที่เป็น กับบริษัท กรรมการบริหาร และเป็นผู้บริหาร ของ ช. การช่าง 2 ท่าน คือ 1) นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ดำรง ตำแหน่งเป็น ประธานกรรมการ ของบริษัท และ 2) นายณรงค์ แสงสุริยะ ดำรง ตำแหน่งเป็น กรรมการ และ กรรมการบริหารของ บริษัท - ผู้บริหารของ ช. การช่าง 2 ท่าน คือ 1) นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ ดำรง ตำแหน่งเป็น กรรมการ และ กรรมการบริหารของ บริษัท และ 2) นายประเสริฐ มริตตนะพร ดำรง ตำแหน่งเป็น กรรมการของบริษัท 3.2 รายการระหว่างบริษัทกับบจ. มหาศิริสยาม มูลค่ารายการ ลักษณะของรายการ ความสัมพันธ์ (บาท) คำอธิบายรายการระหว่างกัน ระหว่างกัน 2549 2550 - เป็นบริษัทที่ บริษัทซื้อหุ้นสามัญของ - 1,245,259,520 บริษัทได้ซื้อหุ้นสามัญของ ประปา เกี่ยวข้องกัน ประปาปทุมธานี ที่ บจ. ปทุมธานี ในส่วนที่ บจ. มหาศิริ - เคยเป็นผู้ถือหุ้นราย มหาศิริ สยามถืออยู่ สยาม ถืออยู่เดิมจำนวน 3,662,528 ใหญ่ของประปา หุ้นในราคาหุ้นละ 340 บาท คิดเป็น ปทุมธานี ในสัดส่วน มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น ร้อยละ 30.52 ก่อน 1,245,259,520 บาท เมื่อวันที่ 29 วันที่ 29 มิ.ย. 2550 มิ.ย. 2550 โดยการซื้อหุ้นสามัญ และภายหลังจาก ของ ประปาปทุมธานี ดังกล่าว วันที่ 29 มิ.ย. 2550 เป็นไปเพื่อลดความขัดแย้งทาง บจ. มหาศิริสยาม ผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก ได้ขายหุ้นทั้งหมดที่ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ กลุ่ม ช. ถืออยู่ในประปา การช่าง เดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ปทุมธานี ให้แก่ ประปาปทุมธานี ซึ่งประกอบธุรกิจ บริษัท เดียวกันกับบริษัท - เป็นผู้ถือหุ้นราย ใหญ่ใน ช.การช่าง ในสัดส่วนร้อยละ 19.24 ณ วันที่ 27 ส.ค. 2550 - ช.การช่าง เป็นผู้ถือ หุ้นรายใหญ่ใน บริษัทในสัดส่วน ร้อยละ 47.69 - กรรมการของ บจ. มหาศิริ สยาม จำนวน 1 ท่าน คือ นายปลิว ตรีวิศว เวทย์ ดำรงตำแหน่ง เป็นประธาน กรรมการของบริษัท 3.3 รายการระหว่างบริษัทกับบจ. ช. การช่างโฮลดิ้ง มูลค่ารายการ ลักษณะของ ความสัมพันธ์ (บาท) คำอธิบายรายการระหว่างกัน รายการระหว่างกัน 2549 2550 - เป็นบริษัทที่ บริษัทซื้อหุ้นสามัญ - 88,910,680 บริษัทได้ซื้อหุ้นสามัญของ ประปา เกี่ยวข้องกัน ของประปาปทุมธานี ที่ ปทุมธานี ในส่วนที่ บจ. ช.การช่าง - เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บจ. ช.การช่าง โฮลดิ้ง โฮลดิ้ง ถืออยู่เดิมจำนวน 261,502 ใน ช.การช่าง ใน ถืออยู่ หุ้นในราคาหุ้นละ 340 บาท คิดป็น สัดส่วนร้อยละ 19.24 มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 88,910,680 ณ วันที่ 9 เม.ย. บาท เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2550 โดย 2550 การซื้อหุ้นสามัญของ ประปา - ช.การช่าง เป็นผู้ถือ ปทุมธานี ดังกล่าวเป็นไปเพื่อลด หุ้นรายใหญ่ในบริษัท ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจ ในสัดส่วนร้อยละ เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของ 47.69 บริษัทคือ กลุ่ม ช.การช่าง เดิมเป็นผู้ - ก่อนวันที่ 29 มิ.ย. ถือหุ้นใหญ่ใน ประปาปทุมธานี ซึ่ง 2550 เป็นผู้ถือหุ้น ประกอบธุรกิจเดียวกันกับบริษัท ของ ประปาปทุมธานี ในสัดส่วนร้อยละ 2.18 และภายหลัง จากวันที่ 29 มิ.ย. 2550 บจ. ช.การช่าง โฮลดิ้ง ได้ขายหุ้น ทั้งหมดที่ถืออยู่ ให้แก่บริษัท - กรรมการของ บจ. ช.การช่าง โฮลดิ้ง จำนวน 1 ท่าน คือ นายปลิว ตรีวิศว เวทย์ ดำรงตำแหน่ง เป็นประธานกรรมการ ของบริษัท 3.4 รายการระหว่างบริษัทและประปาปทุมธานี และบจ. นครหลวงค้าข้าว มูลค่ารายการ ลักษณะของ ความสัมพันธ์ (บาท) คำอธิบายรายการระหว่างกัน รายการระหว่างกัน 2549 2550 - เป็นบริษัทที่ บริษัทซื้อหุ้นสามัญ - 190,894,360 เมื่อ 14 ธันวาคม 2550 บริษัทได้ซื้อ เกี่ยวข้องกัน ของประปาปทุมธานีที่ หุ้นสามัญของประปาปทุมธานี - ก่อนวันที่ 24 พ.ค. บจ. นครหลวง ค้าข้าว จำนวน 561,454 หุ้น ในราคาหุ้นละ 2550 เป็นผู้ถือหุ้น ถืออยู่ 340 บาท คิดเป็นมูลค่าซื้อขาย รายใหญ่ในประปา ทั้งสิ้น 190,894,360 บาท โดยการ ปทุมธานี ในสัดส่วน ซื้อหุ้นสามัญของประปาปทุมธานี ร้อยละ 15.74 และ ดังกล่าวเป็นไปเพื่อลดความขัดแย้ง ภายหลังจากวันที่ ทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น 24 พ.ค. 2550 เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ บจ. นครหลวง กลุ่ม ช.การช่าง เดิมเป็นผู้ถือหุ้น ค้าข้าว ได้ขายหุ้นใน ใหญ่ใน ประปาปทุมธานี ซึ่งประกอบ ประปาปทุมธานี ธุรกิจเดียวกันกับบริษัท ให้แก่ บจ. เอสทีซี แคปปิตัล โฮลดิ้ง ใน สัดส่วนร้อยละ 11.02 - บจ. เอสทีซี แคปปิตัล โฮลดิ้ง เป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บจ. นครหลวงค้า ข้าว โดยมีสัดส่วน การถือหุ้นร้อยละ 40 ณ วันที่ 30 เม.ย. 2550 นอกจากนี้ กรรมการ ของ บจ. นครหลวงค้าข้าว 3 ท่าน ดำรง ตำแหน่งเป็น กรรมการของบจ. เอสทีซี แคปปิตัล โฮลดิ้ง ได้แก่ 1) นายนที ศิระวัฒน์ 2) นายวรพงศ์ พิชญ์พงศ์ศา และ 3) นายนายวิเชียร วนิชจักร์วงศ์ 3.5 รายการระหว่างบริษัทและบจ. เอสทีซี แคปปิตัลโฮลดิ้ง มูลค่ารายการ ลักษณะของ ความสัมพันธ์ (บาท) คำอธิบายรายการระหว่างกัน รายการระหว่างกัน 2549 2550 - เป็นบริษัทที่ บริษัทซื้อหุ้นสามัญ - 449,637,760 บริษัทได้ซื้อหุ้นสามัญของ ประปา เกี่ยวข้องกัน ของ ประปาปทุมธานี ที่ ปทุมธานี ในส่วนที่ บจ. เอสทีซี - ก่อนวันที่ 29 มิ.ย. บจ. เอสทีซี แคปปิตัล แคปปิตัล โฮลดิ้ง ถืออยู่เดิมจำนวน 2550 เป็นผู้ถือหุ้น โฮลดิ้งถืออยู่ 1,322,464 หุ้นในราคาหุ้นละ 340 รายใหญ่ใน ประปา บาท คิดเป็นมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น ปทุมธานี ในสัดส่วน 449,637,760 บาท เมื่อวันที่ 29 ร้อยละ 11.02 และ มิ.ย. 2550 โดยการซื้อหุ้นสามัญ ภายหลังจากวันที่ ของประปาปทุมธานี ดังกล่าวเป็นไป 29 มิ.ย. 2550 บจ. เพื่อลดความขัดแย้งทาง เอสทีซี แคปปิตัล ผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก โฮลดิ้ง ได้ขายหุ้นที่ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ กลุ่ม ถืออยู่ทั้งหมดใน ช.การช่าง เดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ประปาปทุมธานี ประปาปทุมธานี ซึ่งประกอบธุรกิจ ให้แก่บริษัท เดียวกันกับบริษัท - บจ. เอสทีซี แคปปิตัล โฮลดิ้ง เป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บจ. นครหลวงค้า ข้าว โดยมีสัดส่วน การถือหุ้นร้อยละ 40 ณ วันที่ 30 เม.ย. 2550 นอกจากนี้ กรรมการ ของ บจ. นครหลวงค้าข้าว 3 ท่าน ดำรงตำแหน่ง เป็นกรรมการขอ งบจ. เอสทีซี แคปปิตัล โฮลดิ้ง ได้แก่ 1) นายนที ศิระวัฒน์ 2) นายวรพงศ์ พิชญ์พงศ์ศา และ 3) นายวิเชียร วนิชจักร์วงศ์ ความจำเป็นและความสมเหตุสมผลของรายการระหว่างกัน ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบ ครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 คณะกรรมการตรวจสอบได้พิจารณา และสอบทานร่วมกับผู้บริหารของบริษัท แล้วมีความเห็นว่ารายการระหว่างกันระหว่างบริษัท กับบุคคลและ/หรือนิติบุคคลที่ อาจมีความขัดแย้งมีความสมเหตุสมผลและจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท มาตรการหรือขั้นตอนการอนุมัติการทำรายการระหว่างกัน ในกรณีที่บริษัทเข้าทำรายการระหว่างกันที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ คณะกรรมการตรวจสอบจะเป็นผู้ พิจารณาความสมเหตุสมผลในการทำรายการดังกล่าว โดยยึดตามข้อกำหนด ประกาศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย และ/หรือประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ/หรือตามมาตรฐานการบัญชี ที่กำหนดโดยสภาวิชาชีพบัญชี หลังจากนั้น คณะกรรมการตรวจสอบจะนำเสนอการพิจารณาต่อคณะกรรมการบริษัทและ/ หรือผู้ถือหุ้นให้พิจารณาอนุมัติรายการตามความเหมาะสม ท้งนี้ ผู้มีส่วนได้เสียจะไม่มีส่วนร่วมในการพิจารณาความ สมเหตุสมผลและการพิจารณาอนุมัติรายการ อนึ่ง ในกรณีที่การเข้าทำรายการระหว่างกันที่มีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาทต่อรายการ และ/หรือรวมกันไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อปี กรรมการผู้จัดการหรือคณะบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการผู้จัดการจะเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการ ตกลงเข้าทำรายการระหว่างกันดังกล่าว โดย ต้องรายงานให้คณะกรรมการตรวจสอบทราบถึงรายการระหว่างกันที่เกิดขึ้น ตลอดจนความจำเป็นและความสมเหตุสมผลทุกครั้ง ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการหรือคณะบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการ ผู้จัดการดังกล่าวต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการเข้าทำรายการนั้นๆ นโยบายหรือแนวโน้มการทำรายการระหว่างกันในอนาคต ในอนาคต บริษัทอาจมีการเข้าทำรายการระหว่างกันตามความจำเป็นในการประกอบธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทมี นโยบายและขั้นตอนการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งรวมถึงการพิจารณาการเข้าทำรายการระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิด ความมั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ/หรือสภาวิชาชีพบัญชี เกี่ยวกับการทำรายการระหว่างกัน สำหรับแนวโน้มการทำรายการระหว่างกันในอนาคตนั้น อาจยังคงมีอยู่ในส่วนที่เป็นการดำเนินการทางธุรกิจตามปกติ ของบริษัท ซึ่งบริษัทจะดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎระเบียบของหน่วยงานที่ได้กล่าวมาแล้วอย่าง เคร่งครัด ทั้งนี้ หากมีกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบไม่มีความชำนาญในการพิจารณารายการระหว่างกันที่อาจเกิดขึ้น คณะกรรมการตรวจสอบสามารถร้องขอให้บริษัทจัดหาผู้เชี่ยวชาญอิสระและ/หรือผู้สอบบัญชีของบริษัทเป็นผู้ให้ความเห็น เกี่ยวกับรายการระหว่างกันดังกล่าว 28 ภาระผูกพัน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทและบริษัทย่อยมีภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้ ภาระผูกพันเกี่ยวกับรายจ่ายฝ่ายทุน บริษัทและบริษัทย่อยมีรายจ่ายฝ่ายทุนจำนวนเงิน 117.4 ล้านบาท (เฉพาะของบริษัท: 60.1 ล้านบาท) ที่เกี่ยวข้องกับ การก่อสร้าง ภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาบริการและภาระผูกพันอื่น ก) บริษัทมีภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาบริการกับบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและสัญญาบริการอื่นๆ ซึ่งบริษัทจะต้องจ่าย ค่าบริการเป็นจำนวนเงินรวม 4.3 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการรับประกันการจัดจำหน่าย หลักทรัพย์ ซึ่งคิดเป็นอัตราร้อยละของมูลค่าการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ข) บริษัทได้ทำสัญญาการบริหารจัดการและการซ่อมบำรุงกับวอเตอร์โฟลว์ เพื่อให้บริษัทย่อยดังกล่าวบริหารจัดการผลิต และจ่ายน้ำประปาและการซ่อมบำรุงรักษา โดยภายใต้เงื่อนไขสัญญาดังกล่าวบริษัทต้องจ่ายค่าบริการตามอัตราที่ระบุใน สัญญา ค) บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีภาระผูกพันจากสัญญาเช่าสถานที่ทำการกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน และภาระผูกพันจากสัญญา บริการอื่นๆ เป็นจำนวนเงินรวม 3.1 ล้านบาท ง) บริษัทมีภาระผูกพันในการสนับสนุนทางการเงินแก่ประปาปทุมธานี เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 162 ล้านบาท ในกรณีที่ ประปาปทุมธานี ขาดสภาพคล่องซึ่งเป็นไปตามสัญญา Sponsor Support Agreement ระหว่างบริษัทกับกลุ่มผู้ให้กู้ของ บริษัทย่อยดังกล่าว ปัจจัยเสี่ยง 1. ความเสี่ยงจากสัญญาที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ 1.1 ความเสี่ยงจากสัญญาซื้อขายน้ำประปาถูกยกเลิก สัญญาซื้อขายน้ำประปาเลขที่ 189/2543 ระหว่างบริษัทและกปภ. และสัญญาซื้อขายน้ำประปา เลขที่ ฝกม. 7/2549 ระหว่างประปาปทุมธานีและกปภ. อาจถูกตีความได้ว่าดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้ เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พรบ. การให้เอกชนเข้าร่วมงาน) ดังนี้ (ก) สัญญาซื้อขายน้ำประปาเลขที่ 189/2543 ระหว่างบริษัทและกปภ. จากแนวคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อปี 2540 ที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องโครงการที่ กปภ. ให้เอกชน เป็นผู้ลงทุนดำเนินการก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาทั้งหมด โดยกปภ. จะซื้อน้ำจากเอกชน และ กปภ. จะเป็นผู้จ่ายน้ำให้แก่ ประชาชนอีกทอดหนึ่งว่าไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องดำเนินการตาม พรบ. การให้เอกชนเข้าร่วมงาน หากเป็นกรณีที่เอกชน ผู้ผลิตน้ำขายให้แก่กปภ. ซึ่งเอกชนรับผิดชอบเรื่องผลกำไรหรือขาดทุนเอง โดยกปภ. จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกำไรหรือ ขาดทุน และมิได้ให้สิทธิที่ กปภ. มีอยู่ตามกฎหมายแก่เอกชนแต่อย่างใด ส่วนแหล่งน้ำดิบที่จะนำมาใช้ในการผลิต น้ำประปา กปภ. จะเป็นผู้ช่วยเหลือประสานงานการจัดหาแหล่งน้ำดิบให้ แต่เอกชนจะต้องเป็นผู้ซื้อจากเจ้าของแหล่งน้ำดิบ ดังกล่าวเอง กรณีดังกล่าวจึงเป็นกิจการที่เอกชนดำเนินการเองโดยแท้ รวมทั้งแหล่งน้ำดิบที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำประปาก็ ไม่มีการอนุญาต การให้สัมปทานหรือการให้สิทธิเอกชนที่จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติหรือทรัพย์สินของรัฐ และการจัดซื้อน้ำ จากเอกชนที่ผลิตได้ก็เป็นเรื่องที่กปภ. ทำสัญญาซื้อขายในทางแพ่งตามปกติของการประกอบธุรกิจ ดังนั้น กปภ. จึงมิได้มี การเสนอสัญญาซื้อขายน้ำประปาฉบับดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและอนุมัติตามขั้นตอนของพรบ. การให้เอกชน เข้าร่วมงาน ทั้งนี้ บริษัทไม่อาจรับรองได้ว่า คณะรัฐมนตรีจะมีคำสั่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งใน ประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายน้ำประปาว่าเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดในพรบ. การให้เอกชนเข้าร่วม การงานหรือไม่ หากเกิดกรณีให้พิจารณาใหม่แล้ว ความเห็นจะเป็นไปตามแนวทางเดิมที่เคยวินิจฉัยไว้หรือไม่ ซึ่งหาก ความเห็นดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป อาจมีผลถึงความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขายน้ำประปา ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่าง มีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ รายได้ และฐานะการเงินของบริษัท เนื่องจากกปภ. เป็นลูกค้าเพียงรายเดียวของบริษัท ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นและบริษัทประสงค์ที่จะดำเนินกิจการขายน้ำต่อไป บริษัทจะต้องจัดหาผู้ซื้อน้ำรายใหม่ รวมทั้ง บริษัทจะต้องดำเนินการแก้ไขเงื่อนไขในสัมปทานให้สอดรับกับสัญญาซื้อขายน้ำฉบับใหม่ด้วย (ข) สัญญาซื้อขายน้ำประปาเลขที่ ฝกม. 7/2549 ระหว่างประปาปทุมธานี และกปภ. บริษัทไม่สามารถรับรองได้ว่าเมื่อดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะมีมูลค่าโครงการตามสัญญาซื้อขายน้ำประปา ระหว่างประปาปทุมธานีและกปภ. ฉบับดังกล่าว เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ (cost overrun) ว่าจะมีมูลค่าโครงการรวม เป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 897 ถึง 984 ล้านบาทหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สัญญาก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปามีลักษณะเป็นแบบ Turnkey ซึ่งผู้รับเหมาก่อสร้างจะต้องรับผิดชอบกรณีค่าสินค้าวัสดุก่อสร้างมีราคาสูงขึ้น เว้นแต่ในกรณีที่มีการแก้ไขแบบ และขอบเขตของงานเพิ่มขึ้นอาจมีผลทำให้มูลค่างานก่อสร้างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งหากมูลค่าโครงการสูงขึ้นจนมีผล ทำให้ประปาปทุมธานีต้องใช้เงินลงทุนเกินกว่า 1,000 ล้านบาท อาจมีข้อพิจารณาว่าสัญญาซื้อขายน้ำประปาดังกล่าวของ ประปาปทุมธานีเป็นสัญญาที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพรบ. การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือไม่ ทั้งนี้ หากถูกพิจารณา ว่ามีการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินการตามขั้นตอนของพรบ. การให้เอกชนเข้าร่วมการงานแล้วอาจส่งผลให้ถูกเพิก ถอนสัญญาซื้อขายน้ำประปาได้ ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ฐานะการเงิน และรายได้ในอนาคตของบริษัท อย่างไรก็ ตาม บริษัทเชื่อว่าหากประปาปทุมธานีสามารถพิสูจน์ได้ว่าการที่มูลค่าโครงการของประปาปทุมธานีเกินกว่า 1,000 ล้าน บาทนั้นเกิดจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยที่เกิดขึ้นภายหลัง สัญญาซื้อขายน้ำประปาฉบับดังกล่าวไม่ควรถูกพิจารณาว่าเป็น การหลีกเลี่ยงการดำเนินการตามขั้นตอนของพรบ. การให้เอกชนเข้าร่วมการงานได้ 1.2 ความเสี่ยงจากการที่อายุสัมปทานและระยะเวลาของสัญญาซื้อขายน้ำประปาระหว่างบริษัท และกปภ. ไม่เท่ากัน อายุสัมปทานในการประกอบกิจการประปาที่บริษัทได้รับจากผู้ให้สัมปทาน มีระยะเวลาเพียง 25 ปี (สิ้นสุดวันที่ 10 มีนาคม 2573) ในขณะที่ระยะเวลาของสัญญาซื้อขายน้ำประปาเลขที่ 189/2543 ระหว่างบริษัทกับกปภ. มีระยะเวลา 30 ปี (สิ้นสุดวันที่ 20 กรกฎาคม 2577) บริษัทไม่สามารถรับรองได้ว่าบริษัทจะได้รับการต่ออายุสัมปทาน หรือทราบผลการ อนุญาตก่อนที่อายุสัมปทานจะสิ้นสุดลง หากบริษัทไม่ได้รับการต่ออายุสัมปทานจากผู้ให้สัมปทานในการประกอบกิจการ ประปาสำหรับช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกันดังกล่าว บริษัทก็อาจตกเป็นผู้ผิดสัญญาเนื่องจากไม่สามารถผลิตและจำหน่าย น้ำประปาให้แก่กปภ. ตามสัญญาซื้อขายน้ำประปาได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงาน รายได้ และ ฐานะทางการเงินของบริษัท นอกจากนี้ แม้ว่าบริษัทจะได้รับการต่ออายุสัมปทานจากผู้ให้สัมปทาน แต่ระยะเวลาที่บริษัทสามารถประกอบกิจการ ประปาอาจจะไม่เท่ากับระยะเวลาที่บริษัทสามารถขายน้ำประปาให้กับกปภ. ตามสัญญาซื้อขายน้ำประปา และแม้ว่าตาม สัญญาซื้อขายน้ำประปาจะมีข้อสัญญาให้สิทธิบริษัทสามารถขอต่ออายุได้โดยทั้งสองฝ่ายต้องทำความตกลงร่วมกัน บริษัท ไม่สามารถรับรองได้ว่า การต่ออายุสัญญาดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดิมตามสัญญาซื้อขายน้ำประปาฉบับที่หมดอายุ หรือมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ หรือหากบริษัทไม่ได้รับการต่ออายุสัญญาซื้อขายน้ำประปาและต้องจัดหาผู้ซื้อ รายใหม่ บริษัทอาจต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการลงทุนเครื่องอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งอาจส่งผล กระทบต่อผลการดำเนินงาน รายได้ และฐานะทางการเงินของบริษัท 1.3 ความเสี่ยงจากการไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญาให้สิทธิดำเนินการผลิตและจำหน่ายน้ำประปา ฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2538 (สัญญาให้สิทธิ) สัญญาให้สิทธิระหว่างประปาปทุมธานีและกปภ. มีข้อสัญญากำหนดให้ประปาปทุมธานีจะต้องทำให้ระบบผลิต น้ำประปามีกำลังผลิตเพียงพอที่จะส่งน้ำในปริมาณน้ำขั้นต่ำที่ต้องซื้อบวกด้วยร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำขั้นต่ำที่ต้องซื้อ ตลอดเวลา ณ สถานีสูบจ่ายน้ำตั้งแต่วันเริ่มประกอบกิจการ ทั้งนี้ หากปริมาณน้ำขั้นต่ำที่ กปภ. กำหนดบวกด้วยร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำขั้นต่ำมีจำนวนเกินกว่ากำลังการผลิตสูงสุดของประปาปทุมธานีแล้ว (โครงสร้างระบบการผลิตน้ำประปาของ ประปาปทุมธานีมีกำลังการผลิตติดตั้งจำนวน 288,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน) กปภ. และ ประปาปทุมธานี จะต้องทำการ เจรจาเพื่อแก้ไขขอบเขตของงานตามสัญญาให้สิทธิเพื่อกำหนดให้ประปาปทุมธานีดำเนินการได้เป็นหนังสือก่อน หากไม่ สามารถตกลงกันได้ กปภ. อาจพิจารณาว่า เงื่อนไขเกี่ยวกับความเพียงพอของกำลังการผลิตตามที่กำหนดไว้ในสัญญาให้ สิทธิดังกล่าวข้างต้นมิได้มีการปฏิบัติตาม ซึ่งหากมีการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผล ประกอบการ กิจการ รายได้ และฐานะการเงินของบริษัท แต่อย่างไรก็ตาม ประปาปทุมธานีเชื่อมั่นว่า กปภ. ทราบถึงกำลัง การผลิตสูงสุดของประปาปทุมธานีนับตั้งแต่มีการเจรจาจนถึงการเข้าทำสัญญา ดังนั้น ปริมาณน้ำขั้นต่ำบวกด้วยอัตราร้อย ละ 30 ตามที่สัญญาให้สิทธิกำหนดจึงไม่ควรเกินกว่ากำลังการผลิตสูงสุดของประปาปทุมธานี จนกว่าจะมีการตกลง เปลี่ยนแปลงเป็นหนังสือ 1.4 ความเสี่ยงจากการถูกบอกเลิกสัญญาซื้อขายน้ำประปาและ/หรือสัญญาให้สิทธิ บริษัทและประปาปทุมธานีอาจถูกบอกเลิกสัญญาซื้อขายน้ำประปาและ/หรือสัญญาให้สิทธิได้หากเกิดเหตุการณ์ตามที่ กำหนดในสัญญาซื้อขายน้ำประปาและ/หรือสัญญาให้สิทธิ ทั้งนี้ ในการบอกเลิกสัญญาซื้อขายน้ำประปาและ/หรือสัญญา ให้สิทธิ กปภ. จะต้องส่งคำบอกกล่าวเป็นหนังสือเพื่อแจ้งให้บริษัทและ/หรือประปาปทุมธานีปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญา ภายในระยะเวลาที่กำหนดเสียก่อน หากบริษัทและ/หรือประปาปทุมธานีไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด แล้ว กปภ. จึงสามารถใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ อย่างไรก็ตาม หากกปภ. ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายน้ำประปาและ/ หรือสัญญาให้สิทธิ กปภ. อาจริบหลักประกันที่บริษัทและ/หรือประปาปทุมธานีให้ไว้กับ กปภ. และนอกจากการริบ หลักประกันแล้ว กปภ. ยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหาย หรือค่าใช้จ่ายใดๆ อันเกิดจากการผิดสัญญาดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งอาจส่งผล กระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการประกอบกิจการ และฐานะการเงินของบริษัท และประปาปทุมธานี 2. ความเสี่ยงเกี่ยวกับสัมปทานกิจการประปา 2.1 ความเสี่ยงจากการไม่ได้รับการต่ออายุสัญญาสัมปทานกิจการประปาหรือการขอสัมปทานใหม่เนื่องจากความต้องการ ขยายเขตหรือเพิ่มกำลังการผลิตจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพิจารณาให้ต่ออายุสัมปทานหรือการให้สัมปทานใหม่สำหรับพื้นที่ใหม่หรือการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอยู่กับการ พิจารณาและดุลยพินิจของผู้ให้สัมปทานเด็ดขาดแต่เพียงฝ่ายเดียว ด้วยปัจจัยหลายประการ บริษัทจึงไม่สามารถรับรองได้ ว่าบริษัทและประปาปทุมธานีจะได้รับการต่ออายุสัมปทานหรือได้รับสัมปทานใหม่สำหรับการขยายเขตหรือการเพิ่มกำลัง การผลิตดังกล่าว และหากบริษัทและประปาปทุมธานีได้รับการต่ออายุสัมปทานหรือได้รับสัมปทานใหม่ บริษัทไม่สามารถ รับรองได้ว่าสัมปทานที่จะได้รับดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรืออาจมีข้อกำหนดหรือเงื่อนไขเพิ่มเติมประการใด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการประกอบกิจการประปา และรายได้และโอกาสทางธุรกิจของบริษัทและประปา ปทุมธานี 2.2 ความเสี่ยงจากข้อกำหนดของสัมปทานที่อาจมีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของบริษัท (1) เมื่อระยะเวลาตามสัมปทานผ่านไปได้กึ่งหนึ่งของอายุสัมปทาน หากผู้ให้สัมปทานใช้สิทธิถอนคืนสัมปทานหาก รัฐบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความประสงค์จะซื้อกิจการประปาของบริษัทและ/หรือประปาปทุมธานีทั้งหมด (ยังมีต่อ)