21 May 2008
) สรุปข้อสนเทศ :TTW (แก้ไขข้อมูลเงินปันผลในตารางสถิติ)
บริษัทและ/หรือประปาปทุมธานีจะไม่สามารถประกอบกิจการประปาได้จนครบอายุสัมปทาน ทำให้ผลตอบแทนที่บริษัทและ
ประปาปทุมธานีคาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในกิจการประปาไม่เป็นไปตามที่กำหนด และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมี
นัยสำคัญต่อการประกอบธุรกิจ รายได้ และฐานะการเงินของบริษัทและประปาปทุมธานี
นอกจากนี้ แม้ว่าสัมปทานจะกำหนดให้ซื้อคืนในราคาตลาดก็ตาม บริษัทและประปาปทุมธานีไม่สามารถรับรองได้
ว่า ราคาซื้อคืนที่กำหนดให้เป็นไปตามราคาตลาดนั้นจะคุ้มกับเงินลงทุนที่บริษัทได้ลงทุนไปเพื่อประกอบกิจการประปา
รวมถึงผลประโยชน์ที่บริษัทและประปาปทุมธานีจะมีสิทธิได้รับหากสามารถประกอบกิจการประปาต่อไปจนครบอายุ
สัมปทาน
(2) บริษัทและประปาปทุมธานีมีความเสี่ยงที่อาจถูกผู้ให้สัมปทานสั่งให้เปลี่ยนแปลงอัตราค่าน้ำประปา เมื่อสิ้น
ระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่วันลงนามในสัมปทาน ถ้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือผู้ใช้น้ำขอร้องมายังผู้ให้สัมปทานให้
เปลี่ยนอัตราหรือวิธีคิดค่าน้ำประปา ผู้ให้สัมปทานมีอำนาจจะพิจารณาและถ้าเป็นที่พอใจว่า การเปลี่ยนอัตราค่าน้ำประปา
หรือการแก้ไขวิธีคิดค่าน้ำประปานั้นเป็นการสมควร โดยเหตุที่พฤติการณ์อันเป็นบรรทัดฐานที่ได้กำหนดอัตราหรือวิธีคิดค่า
น้ำประปาที่ใช้อยู่นั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็มีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ใช้อัตราและวิธีคิดค่าน้ำใหม่แทนได้ตามที่ผู้ให้สัมปทาน
จะเห็นเป็นการยุติธรรมและสมควร คำสั่งนั้นบริษัทและประปาปทุมธานีจะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างร้ายแรง
ต่อการประกอบธุรกิจรายได้และฐานะทางการเงินของบริษัทและประปาปทุมธานี แต่บริษัทเห็นว่าการปรับอัตราค่าน้ำประปา
นั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากบริษัทและประปาปทุมธานีไม่ได้เป็นผู้ให้บริการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือผู้ใช้น้ำ แต่
เป็นผู้ให้บริการกับกปภ. เท่านั้น
(3) หากรัฐบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความประสงค์จะก่อสร้างหรือขยายทางหรือที่สาธารณะใดๆ หรือเมื่อ
เอกชน ร้องขอให้ย้ายเครื่องอุปกรณ์เนื่องจากกีดขวางทางเข้าออกบ้านหรือที่ดิน ไม่ว่าทางนั้นจะมีอยู่ก่อนหรือก่อสร้างขึ้น
ภายหลังการติดตั้งเครื่องอุปกรณ์และรัฐบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอนุมัติคำร้องขอดังกล่าว บริษัทและประปา
ปทุมธานีจำเป็นต้องย้ายเครื่องอุปกรณ์ที่อยู่ในที่สาธารณะซึ่งกีดขวางการก่อสร้างหรือการขยายหรือกีดขวางทางเข้าออก
ดังกล่าวนั้นตามคำร้องขอของรัฐบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยไม่คิดค่าทดแทน ทั้งนี้ หากคำสั่ง
ดังกล่าวเป็นการสั่งให้ย้ายเส้นทางแนววางท่อส่งน้ำประธาน บริษัทและประปาปทุมธานีอาจต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการ
เปลี่ยนเส้นทางวางท่อส่งน้ำประธานโดยที่ไม่ได้รับค่าทดแทนใดๆ แต่บริษัทอาจได้รับค่าชดเชยจากกปภ. ตามที่สัญญาซื้อ
ขายน้ำประปากำหนด กล่าวคือหากภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1,000,000
บาท โดยมิได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากความผิดของบริษัท ทั้งนี้ ประปาปทุมธานีไม่สามารถเรียกค่าชดเชยจากกปภ. ได้
เนื่องด้วยสัญญาให้สิทธิดำเนินการผลิตและจำหน่ายน้ำประปาระหว่างกปภ. และประปาปทุมธานีไม่มีข้อกำหนดในทำนอง
เดียวกับบริษัท ดังนั้น จึงอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ และโอกาสทางธุรกิจของประปาปทุมธานี
2.3 ความเสี่ยงจากการถูกเพิกถอนสัมปทาน
ผู้ให้สัมปทานมีอำนาจเพิกถอนสัมปทาน ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) บริษัทและประปาปทุมธานีละเลยไม่จำหน่ายน้ำประปาเป็นเวลาเกินกว่า 3 วัน เว้นแต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย
(2) บริษัทและประปาปทุมธานีละเลยไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ หรือเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัมปทานเป็นระยะเวลา
ตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป และผู้ให้สัมปทานได้เตือนเป็นหนังสือไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนมีคำสั่งเพิกถอนสัมปทาน
(3) เมื่อโรงผลิตน้ำ เครื่องอุปกรณ์ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดอันเป็นส่วนสำคัญของกิจการประปานั้นถูกยึดตามคำพิพากษา
ของศาล
หากผู้ให้สัมปทานเพิกถอนสัมปทาน บริษัทและประปาปทุมธานีจะไม่สามารถผลิตและจำหน่ายน้ำประปาต่อไปได้ ซึ่ง
จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทต่อรายได้ และฐานะการเงินของบริษัท
3. ความเสี่ยงเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ
3.1 ความเสี่ยงจากการไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ที่ใช้ในการวางท่อส่งน้ำประธาน
บริษัทไม่อาจรับรองได้ว่าหน่วยงานแต่ละหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ที่แนวท่อส่งน้ำประธานและท่อจ่ายน้ำของบริษัทวาง
ผ่านจะเรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้พื้นที่ในอัตราที่เหมาะสม และบริษัทไม่อาจรับรองได้ว่าหน่วยงานเหล่านั้นจะไม่นำพื้นที่
ดังกล่าวออกให้บุคคลอื่นใช้ประโยชน์ หรือก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ทับแนวท่อส่งน้ำประธานดังกล่าว อันอาจส่งผลให้เกิด
ความเสียหายต่อท่อส่งน้ำประธาน หรือเป็นอุปสรรคต่อการเข้าซ่อมแซม โดยหากบริษัทและประปาปทุมธานีไม่สามารถใช้
พื้นที่ในการวางท่อส่งน้ำประธานได้ หรือในกรณีที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนการใช้พื้นที่ในอัตราที่สูง หรือไม่สามารถเข้าใช้พื้นที่
ในการซ่อมแซมท่อส่งน้ำประธานเมื่อเกิดความชำรุดบกพร่องได้ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
ฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงานและโอกาสทางธุรกิจของบริษัทและประปาปทุมธานี
3.2 ความเสี่ยงอันเกิดจากแหล่งน้ำดิบ
(ก) ความสามารถในการสูบน้ำจากแหล่งน้ำดิบเพื่อการผลิตน้ำประปา
ประปาปทุมธานีได้ทำการสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเกินปริมาณที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ
ทรัพยากรน้ำแห่งชาติตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 และจะหยุดการสูบน้ำเกินปริมาณเมื่อเริ่มเปิดทำการโรงผลิตน้ำใหม่ แต่
ปัจจุบันไม่มีหน่วยงานใดที่เป็นผู้มีอำนาจกล่าวโทษเนื่องจากไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และระเบียบสำนัก
นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ที่กล่าวถึงอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการทรัพยากร
น้ำแห่งชาติและคณะกรรมการลุ่มน้ำ ก็ไม่มีการกำหนดเรื่องอำนาจในการกล่าวโทษผู้ที่ไม่กระทำตามเงื่อนไขที่ได้รับ
อนุญาตให้ทำการสูบน้ำ ทั้งนี้ บริษัทไม่อาจรับรองได้ว่า สำนักงานคณะกรรมการทรัพายากรน้ำแห่งชาติจะขอความร่วมมือ
ไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจควบคุมการประกอบกิจการของประปาปทุมธานีให้ออกคำสั่งให้หยุดทำการสูบน้ำส่วนที่เกินกว่า
ปริมาณที่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้และผลการดำเนินงานของประปาปทุมธานี
(ข) ความเพียงพอของแหล่งน้ำดิบ และการหาแหล่งน้ำสำรอง
ปริมาณของน้ำดิบในแหล่งน้ำขึ้นกับหลายปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท และปัจจุบันบริษัท และ
ประปาปทุมธานียังไม่มีการดำเนินการจัดหาแหล่งน้ำสำรองอื่นไว้ทดแทนแหล่งน้ำดิบแต่อย่างใดเนื่องด้วยจะต้องมีการใช้
เงินลงทุนสูงในการที่จะสร้างระบบสำหรับแหล่งน้ำสำรองดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตามสัญญาซื้อขายน้ำประปา
ระหว่างบริษัทและกปภ. จะมีข้อกำหนดว่ากปภ. ตกลงจะชำระเงินชดเชยให้กับบริษัท หากบริษัทไม่สามารถผลิตน้ำประปา
ได้ตามปริมาณน้ำประปาขั้นต่ำที่จะต้องจัดส่งให้กับกปภ. ด้วยเหตุที่ไม่สามารถจัดหาแหล่งน้ำอื่นที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับ
แหล่งน้ำเดิมได้ก็ตาม แต่บริษัทไม่อาจรับรองได้ว่าปริมาณน้ำดิบจากแหล่งน้ำจะมีอย่างเพียงพอให้บริษัทและประปา
ปทุมธานีใช้ในการผลิตน้ำประปาตามกำลังการผลิตปัจจุบันหรือตามกำลังผลิตที่อาจขยายเพิ่มขึ้นในอนาคต และไม่อาจ
รับรองได้ว่าบริษัทและประปาปทุมธานีจะสามารถหาแหล่งน้ำอื่นเพื่อใช้ในการผลิตน้ำประปาทดแทนได้ อันจะส่งผลกระทบ
อย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจ ผลการดำเนินงานและโอกาสทางธุรกิจของบริษัทและประปาปทุมธานี
(ค) ต้นทุนเรื่องราคาน้ำดิบ
แม้ในปัจจุบัน บริษัทและประปาปทุมธานีจะยังไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับค่าน้ำดิบที่สูบจากแหล่งน้ำทั้ง 2 แหล่ง
ดังกล่าว แต่บริษัทไม่อาจรับรองได้ว่า ในอนาคตจะมีการออกกฎหมายเพื่อกำหนดและเรียกเก็บอัตราค่าใช้น้ำจากการสูบน้ำ
จากแหล่งน้ำดิบธรรมชาติอันจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตน้ำประปาของบริษัทและประปาปทุมธานีสูงขึ้นหรือไม่ อย่างไรก็
ตาม สัญญาซื้อขายน้ำประปาได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับกรณีที่มีการเรียกเก็บค่าใช้น้ำดิบซึ่งส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตของ
บริษัทและประปาปทุมธานีสูงขึ้น โดยบริษัทจะสามารถเรียกเก็บเงินดังกล่าวทั้งหมดต่างหากกับกปภ. แต่สำหรับประปา
ปทุมธานีจะสามารถปรับค่าประปาตามภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ต่อเมื่อได้มีการตกลงกัน หากตกลงไม่ได้ให้เข้าสู่กระบวนการ
ระงับข้อพิพาท ทั้งนี้ หากมีการกำหนดและเรียกเก็บอัตราค่าน้ำดิบจากหน่วยงานของรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ฐานะ
ทางการเงิน ผลการดำเนินงานและโอกาสทางธุรกิจของประปาปทุมธานีได้หากไม่สามารถตกลงกับกปภ. ได้
(ง) คุณภาพน้ำดิบ
ต้นทุนการผลิตที่สำคัญประการหนึ่งของการผลิตน้ำประปาคือ ค่าใช้จ่ายสารเคมีซึ่งแปรผันตามคุณภาพน้ำของน้ำ
ดิบ บริษัทไม่อาจรับรองได้ว่าคุณภาพของแหล่งน้ำดิบของบริษัทและประปาปทุมธานีจะอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมอย่าง
สม่ำเสมอสำหรับการนำมาผลิตน้ำประปา หากน้ำดิบจากแหล่งน้ำมีคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ปริมาณการใช้สารเคมี
เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำก็จะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทและประปาปทุมธานีมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจจะส่งผล
กระทบต่อธุรกิจ ฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของประปาปทุมธานี ซึ่งตามสัญญาซื้อขายน้ำประปาบริษัทมีสิทธิ
ขอให้กปภ. ชดเชยภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ แต่ถ้ากปภ. ไม่สามารถชำระเงินชดเชยได้ก็จะชดเชยด้วยวิธีการอื่นเช่นปรับ
ระยะเวลาของสัญญาซื้อขายน้ำประปา หรือปรับค่าน้ำประปา
3.3 ความเสี่ยงจากการต้องพึ่งพาลูกค้ารายเดียว
บริษัทและประปาปทุมธานีขายน้ำประปาที่ผลิตได้ทั้งหมดให้แก่กปภ. เพียงรายเดียว โดยกปภ. จะทำการจำหน่ายน้ำ
ให้แก่ผู้ใช้น้ำต่อไป บริษัทและประปาปทุมธานีไม่สามารถจำหน่ายน้ำประปาให้กับผู้ใช้น้ำโดยตรงผ่านระบบจำหน่ายน้ำของ
กปภ. บริษัทและประปาปทุมธานีจึงมีความเสี่ยงจากการต้องพึ่งพิงกปภ. ในฐานะลูกค้าเพียงรายเดียว
4. ความเสี่ยงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกิจการประปาหรือนโยบายของรัฐ
4.1 บริษัทและประปาปทุมธานีอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
(ก) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการน้ำประปา
ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้มีการดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการน้ำ (ร่างพรบ. กิจการน้ำ)
เพื่อจัดให้มีระบบการกำกับดูแลการประกอบกิจการน้ำซึ่งรวมถึงกิจการประปาให้มีความเหมาะสมและโปร่งใส ส่งเสริมและ
สนับสนุนการประกอบกิจการน้ำที่มีประสิทธิภาพ ให้ประชาชนได้รับบริการจากกิจการน้ำที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นธรรม
และทั่วถึง รวมถึงเป็นการส่งเสริมการแข่งขันการประกอบกิจการน้ำที่เป็นธรรมและป้องกันการใช้อำนาจผูกขาดในทางที่มิ
ชอบ โดยได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกำกับกิจการน้ำแห่งชาติเป็นองค์กรกำกับดูแลการประกอบกิจการน้ำประปาเพื่อ
กำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบกิจการ กำหนดคุณสมบัติ วิธีการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และ
ระยะเวลาในการอนุญาตประกอบกิจการ ฯลฯ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดทำร่างพรบ. กิจการน้ำ
แต่ปัจจุบันร่างพรบ .กิจการน้ำยังไม่ได้ถูกนำเสนอเพื่อพิจารณาแต่อย่างใด และยังไม่มีความแน่นอนว่าจะมีการนำเสนอเพื่อ
พิจารณาเมื่อใด บริษัทจึงไม่สามารถคาดการณ์เกี่ยวกับการใช้อำนาจในการกำกับดูแลกิจการประปาของคณะกรรมการ
กิจการน้ำแห่งชาติ รวมทั้งลักษณะและขอบเขตในการกำหนดนโยบายและกฎระเบียบ การกำกับดูแลการดำเนินการให้
เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว และการบังคับใช้บทบัญญัติของกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่จะประกาศใช้ในอนาคต
ความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจทำให้ธุรกิจของบริษัทมีความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงกฎหมายรวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อการประกอบธุรกิจ รายได้และฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และโอกาสทางธุรกิจ
ของบริษัท
(ข) กฎหมายเกี่ยวกับการใช้แหล่งน้ำดิบ
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ (ร่าง
พรบ. ทรัพยากรน้ำ) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ซึ่งร่างดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสิทธิ
ในทรัพยากรน้ำ องค์การบริหารจัดการลุ่มน้ำและองค์กรผู้ใช้น้ำ และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การแบ่งประเภทการใช้
น้ำออกเป็น 3 ประเภท การกำหนดให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นผู้มีอำนาจเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
ทรัพยากรน้ำโดยทั่วไปและมีอำนาจหน้าที่อื่นๆ ซึ่งรวมถึงการพิจารณาอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัท
(กล่าวคือ การใช้ทรัพยากรน้ำในแหล่งน้ำสาธารณะเพื่อการเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม การ
ท่องเที่ยว การผลิตพลังงาน ไฟฟ้า การประปา หรือกิจการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง) โดยจะต้องได้รับอนุญาตให้ใช้
ทรัพยากรน้ำจากคณะกรรมการลุ่มน้ำที่แหล่งน้ำสาธารณะนั้นตั้งอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
ปัจจุบันยังไม่มีร่างกฎกระทรวงดังกล่าว บริษัทจึงไม่สามารถคาดการณ์เกี่ยวกับการใช้อำนาจในการกำกับดูแลแหล่งน้ำของ
คณะกรรมการลุ่มน้ำ รวมทั้งลักษณะและขอบเขตในการกำหนดนโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ความไม่แน่นอน
ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการประกอบธุรกิจ รายได้และฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของบริษัท
4.2 ความเสี่ยงจากการแปรรูปองค์กรของ กปภ.
ปัจจุบัน ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแปรรูปกิจการสาขาประปาซึ่งรวมถึงกปภ. ทั้งนี้ บริษัทไม่อาจคาดการณ์ได้ว่า
รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งจะมีแนวนโยบายเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างไร และหาก กปภ. แปรรูปองค์กร
เป็นบริษัท (Corporatisation & Privatisation) แล้วจะส่งผลกระทบในทางลบต่อการประกอบธุรกิจ ฐานะการเงิน ผลการ
ดำเนินงาน และโอกาสทางธุรกิจของบริษัทหรือไม่ นอกจากนี้ ภายหลังการแปรรูป กปภ. อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
ในการบริหารจัดการกิจการประปา และอาจส่งผลต่อความสามารถในการให้การสนับสนุนแก่บริษัทในการขออนุญาต หรือ
ความยินยอมจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการได้รับบริการสาธารณูปโภคในอัตราที่ต่ำกว่าบุคคลอื่นทั่วไปหรือ
ในอัตราที่ถูกที่สุด ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจผลประกอบการ รายได้และฐานะการเงินของ
บริษัท
4.3 การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐเกี่ยวกับน้ำบาดาล
ตามรายงานสถานการณ์น้ำบาดาลและแผ่นดินทรุด และแนวทางการบริหารจัดการน้ำบาดาลในเขตกรุงเทพมหานคร
และปริมณฑลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม
คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2550 เพื่อทราบเป็นข้อมูล ได้กล่าวถึงสถานการณ์น้ำบาดาลและแผ่นดินทรุดในปัจจุบัน
ว่า สืบเนื่องจากการที่รัฐได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขและป้องก้นการเกิดวิกฤตการณ์น้ำบาดาลและแผ่นดินทรุด ทำ
ให้ปัจจุบันสถานการณ์น้ำบาดาลและแผ่นดินทรุดดีขึ้น แต่กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลก็ยังคงทำการควบคุมการใช้น้ำบาดาลอย่างเข็มงวดต่อไป อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่
สามารถรับรองได้ว่ารัฐจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือลดมาตรการควบคุมการใช้น้ำบาดาลในเขตวิกฤตลง และหากมี
การผ่อนปรนมาตรการให้สามารถใช้น้ำบาดาลได้เพิ่มขึ้นอาจกระทบต่อรายได้ ฐานะการเงิน และโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
ของบริษัท
5. ความเสี่ยงอันเกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ตามเงื่อนไขสัญญาสนับสนุนทางการเงินกับสถาบันการเงินผู้ให้กู้แก่บริษัท ผู้ถือหุ้นจำนวน 2 ราย ได้แก่ ช.การช่าง
และมิตซุย ตกลงจำนำหุ้นที่ตนถืออยู่ในบริษัท จำนวน 1,077.4 ล้านหุ้น และ 580.1 ล้านหุ้น ตามลำดับ นอกจากนี้ บมจ.
ทางด่วนกรุงเทพได้ตกลงนำหุ้นที่ตนถืออยู่ในบริษัท จำนวน 325.0 ล้านหุ้น จำนำไว้กับสถาบันการเงินตามเงื่อนไขสัญญา
ให้สินเชื่อของ บมจ. ทางด่วนกรุงเทพ ด้วยเช่นกัน จำนวนหุ้นที่ติดจำนำดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 27.0 ร้อยละ 14.5 และ
ร้อยละ 8.1 ของทุนที่เรียกชำระแล้วภายหลังการขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ของ
ตนให้แก่เจ้าหนี้ และหุ้นจำนวนดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของจำนวนหุ้นที่อยู่ภายใต้หุ้นที่ห้ามขายภายในระยะเวลาที่กำหนด
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างไรก็ตาม ตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการห้ามผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นและ
ผู้ที่เกี่ยวข้องขายหุ้นและหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ 5) ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 ได้ยกเลิกการห้าม
สถาบันการเงินบังคับขายหุ้นที่อยู่ภายใต้หุ้นที่ห้ามขายภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อชำระหนี้ ดังนั้นหากบริษัท หรือ บมจ.
ทางด่วนกรุงเทพ ผิดเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ กลุ่มสถาบันการเงินผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกบังคับหุ้นที่จำนำดังกล่าวขายทอดตลาด
ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผู้ถือหุ้นรายใหญ่และอำนาจควบคุมกิจการของบริษัท ได้ ทั้งนี้นโยบายของผู้ถือ
หุ้นรายใหญ่ที่เข้ามาใหม่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากปี 2550 นี้ นอกจากนี้ การขายหุ้นทอดตลาดดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อ
ราคาหุ้นของบริษัท โดยอาจทำให้ราคาหุ้นลดลงได้
กรณีพิพาท
1. ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 บริษัทไม่มีข้อพิพาททางกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อสินทรัพย์ของบริษัทใน
จำนวนที่สูงกว่าร้อยละ 5 ของส่วนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 หรือที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ
บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
2. ข้อพิพาทของประปาปทุมธานี
ในเดือนธันวาคม 2549 บุคคลหนึ่ง (ผู้ฟ้องคดี) ได้ยื่นฟ้องกปภ. และประปาปทุมธานี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้อง
คดีที่ 2 ตามลำดับ) ต่อศาลปกครองกลาง โดยขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ซึ่งวินิจฉัยยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้ฟ้องคดีที่เรียกให้กปภ. และประปาปทุมธานีร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการ
กระทำละเมิดเป็นเงินจำนวน 64,474,000 บาท และขอให้ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีได้รับการชดใช้
ค่าเสียหายจำนวน 64,474,000 บาท โดยอ้างเหตุว่าคณะกรรมการอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยโดยพิจารณาข้อเท็จจริงที่
คลาดเคลื่อน และคณะอนุญาโตตุลาการยังไม่ได้วินิจฉัยค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทาง
ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ตามที่ผู้ฟ้องคดีได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากการละเมิดของหน่วยงานปกครองตาม
สัญญาให้สิทธิดำเนินงานผลิตน้ำประปา ในขณะนี้ คดีอยู่ในระหว่างการหาข้อเท็จจริงของตุลาการศาลปกครองตาม
กระบวนการของกฎหมาย
จำนวนพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 224 คน (รวมผู้บริหาร)
ประวัติความเป็นมาโดยสรุป
บริษัท
ปี 2543
11 กันยายน จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ภายใต้ชื่อ บริษัท วีเคซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด (VKCS) (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น
บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด) เพื่อดำเนินธุรกิจประกอบกิจการจัดการและพัฒนาที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานตาม
โครงการผลิตและจำหน่ายน้ำประปา โดยเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (ช. การช่าง) กับ
กลุ่มบริษัทเธมส์ วอเตอร์ (ซึ่งประกอบด้วยบริษัท เธมส์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์วิส จำกัด บริษัท เธมส์ วอเตอร์
อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เธมส์ วอเตอร์ พับลิค คอมปานี ลิมิเต็ด) ด้วยทุนจดทะเบียน และเรียก
ชำระแล้ว 100,000 บาท มูลค่าตราไว้หุ้นละ 100 บาท ในสัดส่วนร้อยละ 50 และร้อยละ 50 ตามลำดับ
21 กันยายน บริษัทเข้าทำสัญญาซื้อขายน้ำประปากับ กปภ. แบบ BOO เป็นระยะเวลา 30 ปี
ปี 2544
27 เมษายน บริษัทได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติให้สูบน้ำจากแม่น้ำท่าจีน (เดิมชื่อแม่น้ำ
นครชัยศรี) เพื่อผลิตเป็นน้ำประปาจำหน่ายให้แก่ประชาชน 320,000 ลบ.ม./วัน
12 มิถุนายน ทำสัญญาการบริหารจัดการและการซ่อมบำรุงกับวอเตอร์โฟลว์
ปี 2547
21 กรกฎาคม เริ่มซื้อขายน้ำประปาตามเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายน้ำประปากับ กปภ.
ปี 2548
11 มีนาคม บริษัทได้รับสัมปทานในการประกอบกิจการน้ำประปาในพื้นที่ จ. นครปฐม (อ.นครชัยศรี อ.สามพราน อ. พุทธ
มณฑล) และจ.สมุทรสาคร (อ.กระทุ่มแบน และ อ.เมือง) จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2 สิงหาคม กลุ่มบริษัทเธมส์ วอเตอร์ ได้ขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ในบริษัททั้งหมดให้กับ ช.การช่าง รวมทั้งหุ้นสามัญที่ถืออยู่
ทั้งหมดในวอเตอร์โฟลว์ ให้แก่บริษัท ซี.เค.ออฟฟิซ ทาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นกลุ่มเดียวกับ ช.
การช่าง
กันยายน-ธันวาคม ช.การช่าง ได้ขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ในบริษัทบางส่วนให้กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) คิดเป็นร้อยละ 4.83 ร้อยละ 2.50 และร้อยละ
2.50 ตามลำดับ ในราคาหุ้นละ 290 บาท (มูลค่าตราไว้หุ้นละ 100 บาท)
ปี 2549
27 กุมภาพันธ์ บริษัทซื้อหุ้นของวอเตอร์โฟลว์จากบริษัท Advance Assets Associates Limited ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียน
ในหมู่เกาะ British Virgin Islands และเป็นนิติบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวโยงกับบริษัท ด้วยเงินจำนวน 700,000,000 บาท
24 มีนาคม บริษัท มิตซุย วอเตอร์ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวโยงกับบริษัท ได้ซื้อ
หุ้นของบริษัทจาก ช.การช่าง จำนวน 11,375,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 35 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ของบริษัทในราคาหุ้นละ 320 บาท
6 กรกฎาคม แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เป็น 1 บาท
ปี 2550
29 มิถุนายน ซื้อหุ้นสามัญของประปาปทุมธานี จำนวน 10,698,283 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 89.15 ของหุ้นทั้งหมดของประปา
ปทุมธานี จากกลุ่ม ช. การช่าง
18 ธันวาคม ซื้อหุ้นสามัญของประปาปทุมธานีเพิ่มเติมอีกจำนวน 1,061,452 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 8.85 ของหุ้นที่ชำระ
แล้วทั้งหมดของประปาปทุมธานี โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นในประปาปทุมธานีทั้งสิ้นร้อย
ละ 98.0 ของหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมดของประปาปทุมธานี
ประปาปทุมธานี
ปี 2538
29 พฤษภาคม จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทภายใต้ชื่อ บริษัท พีซีเคที (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อประกอบกิจการจัดหาและ
พัฒนาที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานตามโครงการผลิตและจำหน่ายน้ำประปา ด้วยทุนจดทะเบียนและเรียกชำระ
แล้วจำนวน 200 ล้านบาท (มูลค่าตราไว้หุ้นละ 100 บาท) โดยการร่วมทุนระหว่าง ช.การช่าง บริษัท เธมส์ วอเตอร์
อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) นครหลวงค้าข้าว โบวิส ลิมิเต็ด (นคร
หลวงค้าข้าว) และ กปภ. ในสัดส่วนร้อยละ 30, 30, 15, 15, 5 และ 5 ตามลำดับ
31 สิงหาคม ประปาปทุมธานีเข้าทำสัญญาให้สิทธิดำเนินการผลิตและจำหน่ายน้ำประปาแบบ BOOT กับ กปภ. เป็น
ระยะเวลา 25 ปี
ปี 2539
24 มกราคม ประปาปทุมธานีได้รับอนุญาตให้สูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาในปริมาณ 300,000 ลบ.ม./วัน เพื่อทำการผลิต
เป็นน้ำประปาตามโครงการเอกชนร่วมลงทุนปรับปรุงขยายขยายการประปาปทุมธานี - รังสิต จากคณะกรรมการทรัพยากร
น้ำแห่งชาติ
ปี 2541
15 ตุลาคม เริ่มประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำประปาแก่ กปภ. ตามสัญญาให้สิทธิดำเนินการผลิตและจำหน่าย
น้ำประปา
ปี 2543
13 มกราคม ได้รับสัมปทานให้ประกอบกิจการประปาในพื้นที่บริการเขตปทุมธานี - รังสิต จ.ปทุมธานีจาก
กระทรวงมหาดไทย
ปี 2548
2 สิงหาคม บริษัท เธมส์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ทั้งหมดในประปา
ปทุมธานีให้กับ บริษัท มหาศิริ สยาม จำกัด
ปี 2549
30 มิถุนายน บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ทั้งหมดในประปาปทุมธานีให้กับ ช.การช่าง
15 กันยายน ลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำประปากับกปภ. เพื่อซื้อขายน้ำประปาในปริมาณ 70,000 ลบ.ม./วัน
ปี 2550
25 มกราคม เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1,102 ล้านบาท เป็น 2,752 ล้านบาท โดยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนการ
ถือหุ้นแก่ผู้ถือหุ้นเดิม
26 มกราคม ยกเลิกสัญญาบริหารจัดการและซ่อมบำรุงกับบริษัท ปทุมธานี โอเปอเรชั่นส์ จำกัด และเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ
บีเจที และลงนามในสัญญาการบริหารจัดการ และการซ่อมบำรุงกับบีเจที
11 มิถุนายน ลดทุนจดทะเบียนจาก 2,752 ล้านบาท เป็น 1,200 ล้านบาท โดยการลดทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น ณ
ขณะนั้น
29 มิถุนายน เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่จาก ช. การช่างเป็นบริษัท ทำให้บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นในประปาปทุมธานี
ทั้งสิ้นร้อยละ 89.15 ของหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมดของประปาปทุมธานี
18 ธันวาคม ช.การช่าง นครหลวงค้าข้าว และบุคคลอื่นขายหุ้นสามัญของประปาปทุมธานีเพิ่มเติมอีกร้อยละ 8.85 ของหุ้น
ที่ชำระแล้วทั้งหมดของประปาปทุมธานีให้แก่บริษัท
เงินลงทุนในบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ 2550 ปรากฏดังนี้
ร้อยละ หน่วย: ล้านบาท
ชื่อบริษัท ประเภทกิจการและลักษณะธุรกิจ ทุนชำระแล้ว ของหุ้นที่ถือ มูลค่าเงินลงทุน
(ตามราคาทุน)
1. บจ. ประปาปทุมธานี ผลิตและจำหน่ายน้ำประปา 1,200 98 3,998.4
2. บจ. วอเตอร์โฟลว์ บริหารจัดการและซ่อมบำรุงระบบผลิต 10 100 700
น้ำประปา
3. บจ. บีเจที บริหารจัดการและซ่อมบำรุงระบบผลิต 50 98 305
(ถือหุ้นโดยประปา น้ำประปา
ปทุมธานีร้อยละ 100)
(ถือทางอ้อม)
ประวัติการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้น 5 ปีย้อนหลังของบริษัทและบริษัทย่อย
บริษัท
27 ก.พ. 49
19 เม.ย. 47 1 ส.ค. 48 2 ส.ค. 48 26 ก.ย. 48 10 พ.ย. 48 29 พ.ย. 48
(เพิ่มทุน)*
ช. การช่าง ช. การช่าง ช. การช่าง ช. การช่าง ช. การช่าง ช. การช่าง ช. การช่าง
15% 50% 100% 97.50% 92.67% 90.17% 90.34%
(รับโอนจาก (โอนให้ บมจ. (โอนให้ บมจ. (โอนให้ บมจ. (ในราคาหุ้นละ
(ยังมีต่อ)