03 December 2008

) ความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เรื่องรายการเกี่ยวโยงกัน

เทียบกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายอื่น ๆ ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดย CK มีรายได้รวม ในปี 2550 และ ไตรมาสที่ 3 ปี 2551 จำนวน 14,918 ล้านบาท และ 10,568 ล้านบาท และกำไรสุทธิ ในปี 2550 และ ไตรมาสที่ 3 ปี 2551 จำนวน 33 และ 570 ล้านบาท ตามลำดับ ดังนั้น การหา ผู้รับเหมาก่อสร้างที่จะมีฐานะทางการเงินที่ค่อนข้างมั่นคง รวมทั้งมีความสามารถในการก่อสร้างใน ระดับสูงเทียบเท่ากับ CK จึงค่อนข้างมีความเป็นไปได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อด้อยจากการทำรายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน การทำรายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันอาจทำให้มีข้อสงสัยได้ว่าการเจรจาต่อรองในเรื่องราคา และเงื่อนไข ต่าง ๆ รวมถึงรูปแบบการชำระเงิน อาจจะดำเนินการไม่ได้อย่างเต็มที่หรือดีที่สุดเฉกเช่นเดียวกับการทำ รายการกับบุคคลภายนอก ความจำเป็นที่ต้องทำรายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันและเหตุผลที่บริษัทไม่ทำกับบุคคลภายนอก การทำรายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันในครั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในอดีต ของ CK ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภครายใหญ่ในอันดับต้น ๆ ของ ประเทศ นอกจากนี้ จากการที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทซึ่งประกอบด้วย 1. CK ถือหุ้นร้อยละ 35.31 ของ ทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว และ 2. บริษัท มิตซุย วอเตอร์ โฮลดิงส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 25.88 ของทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว ซึ่งทั้งสองรายถือหุ้นในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถคาน อำนาจซึ่งกันและกัน นอกจากนี้หากบริษัท มิตซุย วอเตอร์ โฮลดิงส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงถือหุ้นบริษัท เกินร้อยละ 25 ของทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว ก็จะมีสิทธิในการคัดค้านมติที่สำคัญ ๆ ของบริษัทได้อีก ด้วย ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดการถ่ายเทผลประโยชน์ของบุคคลที่เกี่ยวโยงกันจากการทำรายการในครั้งนี้จึงมี ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ ผู้บริหารของบริษัทได้ระบุว่าในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างว่างานก่อสร้างงานโยธาของบริษัทในครั้งนี้ คงจะไม่มีใครในอุตสาหกรรมการรับเหมาก่อสร้างเข้าร่วมประมูลแข่งกับ CK อย่างแน่นอน เนื่องจากไม่ ต้องการเปิดเผยราคาเสนอประมูลงานให้คู่แข่งขันทราบ 4. ความเป็นธรรมของราคาและเงื่อนไขของรายการ ภายหลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ ของบริษัท รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำรายการที่ เกี่ยวโยงกันในครั้งนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินขอแสดงความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา ดังนี้ 4.1 ความเหมาะสมของราคา 4.1.1 ราคาหรือการควบคุมงบประมาณโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จากข้อเท็จจริงที่ว่านับตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 เป็นต้นมา บริษัทได้ดำเนินการว่าจ้าง Expert Technologies Limited and Sullivan Associates Company Limited ให้เป็นที่ปรึกษาในส่วน การเตรียมงานของบริษัทเพื่อทำการสำรวจ ทบทวนและจัดเตรียมข้อกำหนดเบื้องต้นของงาน (Terms of Reference) รวมทั้งการจัดเตรียมการสรรหาผู้จัดการโครงการ (Project Manager) และต่อมาในเดือนมกราคม 2551 บริษัทได้ว่าจ้าง Thai MM ซึ่ง Thai MM เป็นบริษัทในเครือของ กลุ่ม Mott MacDonald มีเว๊บไซด์ คือ www.mottmac.com มีธุรกรรมกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ สหรัฐอเมริกา กระจายอยู่ใน 120 ประเทศทั่วโลกและมีพนักงานจำนวน 14,000 คน ปฏิบัติงาน ด้านบริหารจัดการ วิศวกรรมและการพัฒนาและให้คำปรึกษาอยู่ในหลาย ๆ ภาคส่วน อุตสาหกรรม อาทิ ขนส่ง พลังงาน ก่อสร้าง การศึกษาและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสภาวะ แวดล้อม อุตสาหกรรมและโทรคมนาคม ให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการโครงการ โดยมีหน้าที่ศึกษา วาง กลยุทธ ทบทวนรายละเอียดทางวิศวกรรมที่มีอยู่ รวมทั้งการจัดเตรียมเอกสารและข้อกำหนดใน การคัดเลือกผู้รับเหมาและบริหารงานก่อสร้าง โดยมีลำดับขั้นตอนสำหรับการสำหรับการเชิญ ผู้รับเหมาก่อสร้างเข้าร่วมเสนอราคาค่าก่อสร้าง (ทั้งนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินจะกล่าวถึงเฉพาะใน ส่วนงานก่อสร้างงานโยธา ซึ่งเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันในครั้งนี้เท่านั้น) การคัดเลือก การเจรจา ต่อรองในรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการ จนกระทั่งสามารถสรุปราคาสุดท้ายพอสังเขป ดังนี้ วันที่ สรุปสาระสำคัญของการประมูลงานก่อสร้างงานโยธาระหว่างบริษัทและ CK 29 ก.ค. 51 บริษัทออกจดหมายเชิญ CK ให้เข้าดำเนินงานก่อสร้างงานโยธา เนื่องจากบริษัทได้พิจารณาจากเหตุผล ที่ว่า CK เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาในการก่อสร้างระบบผลิตและจ่ายน้ำประปาในจังหวัด นครปฐมและสมุทรสาครมาก่อน รวมทั้งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการก่อสร้างระบบ สาธารณูปโภค 30 ก.ค. 51 Thai MM สรุปงบประมาณการก่อสร้างงานโยธาให้แก่บริษัทจำนวน 663,419,480 บาท (ไม่รวม ภาษีมูลค่าเพิ่ม) 8 ก.ย. 51 CK ยื่นเสนอราคาค่าก่อสร้างงานโยธาแก่บริษัท โดยมีมูลค่าการก่อสร้างรวม 675,004,000.00 บาท (ไม่ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 3 ต.ค. 51 บริษัทร่วมกันกับ Thai MM ออกจดหมายถึง CK ให้ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเทคนิคบางประการตามที่ ได้ยื่นเสนอราคามาเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 51 7 ต.ค. 51 บริษัทออกจดหมายถึง CK โดยระบุว่าราคาซึ่ง CK ยื่นประมูลงานก่อสร้างงานโยธาเข้ามาเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 51 ยังคงสูงเกินกว่างบประมาณค่าก่อสร้างงานโยธาซึ่งจัดทำโดย Thai MM ดังนั้น บริษัทจึงใคร่ ขอให้ CK ทบทวนราคาที่เสนอมาใหม่ พร้อมทั้งนำเสนอราคาการประมูลใหม่ภายในวันที่ 10 ต.ค. 51 8 ต.ค. 51 CK ยื่นเสนอราคาค่าก่อสร้างงานโยธาภายหลังจากที่ได้พิจารณาปรับลดราคาแล้ว โดยมีมูลค่าการ ก่อสร้างรวม 655,000,000.00 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 10 ต.ค. 51 บริษัทออกจดหมายถึง CK ยังคงยืนยันว่าราคาซึ่ง CK เสนอมาจำนวน 655 ล้านบาท ยังสูงกว่า งบประมาณภายในของบริษัทอยู่ดี อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การก่อสร้างสามารถดำเนินการให้ได้ภายใน ระยะเวลาที่กำหนดไว้ บริษัทได้ร่วมกันกับ Thai MM พิจารณาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานบางอย่างของ โครงการ แต่ยังคงประสิทธิภาพการผลิตเหมือนเดิม เช่น ลดขนาดงานก่อสร้างถังเก็บน้ำใสที่สถานีเพิ่ม แรงดันน้ำ ปรับปรุงงานโยธาที่สถานีจ่ายน้ำพุทธมณฑล เป็นต้น โดยขอให้ทาง CK พิจารณาและ นำเสนอราคาค่าก่อสร้างใหม่ให้แก่บริษัทภายในวันที่ 13 ตุลาคม 2551 15 ต.ค. 51 CK ยื่นเสนอราคาค่าก่อสร้างครั้งสุดท้าย (Final Price) ให้แก่บริษัท โดยมีมูลค่าการก่อสร้างรวม 638,926,000.00 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 17 ต.ค. 51 CK ออกจดหมายยืนยันราคาค่าก่อสร้าง พร้อมทั้งวิธีการชำระเงินตามงวดงานให้แก่บริษัท จากลำดับเหตุการณ์ที่สรุปข้างต้น รวมทั้งการได้ประชุมร่วมกันกับผู้บริหารบริษัท ที่ปรึกษา ทางการเงินขอเรียนชี้แจงบทบาทและหน้าที่ของ Thai MM สำหรับโครงการขยายกำลังการผลิตใน ครั้งนี้ว่า Thai MM มิได้ทำหน้าที่เหมือนกับผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะ เป็นผู้ประเมินทรัพย์สินที่มีอยู่เดิม เช่น ที่ดิน อาคาร โรงงานและเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ เพื่อให้ ทราบราคาตลาดหรือราคาทดแทนในทรัพย์สินนั้น ๆ แต่อย่างใด โดย Thai MM จะทำหน้าที่เป็น ผู้จัดการโครงการหรือเป็นเสมือนหนึ่งพี่เลี้ยงให้แก่บริษัทนับตั้งแต่วันที่เริ่มศึกษาโครงการ ออกแบบ จัดทำงบประมาณโครงการ คัดสรรผู้รับเหมาก่อสร้างจนกระทั่งได้ข้อสรุปทั้งในส่วนของ ราคาค่าก่อสร้างและผู้รับเหมาก่อสร้าง ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทในการตรวจรับงานแต่ละ งวด จนกระทั่งสามารถดำเนินการผลิตน้ำประปาได้ จากที่กล่าวมาข้างต้น ที่ปรึกษาทางการเงินมีเชื่อว่า ในส่วนของค่าตอบแทนการก่อสร้างซึ่งบริษัท จะต้องจ่ายชำระให้แก่ CK ในครั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทได้ดำเนินการเจรจาต่อรองตามวิธีการ ว่าจ้างอันเป็นการค้าโดยปกติ (ที่ปรึกษาทางการเงินพิจารณาจากเอกสารการโต้ตอบกันระหว่าง บริษัทและ CK รวมทั้งคำยืนยันจากวิศวกรของบริษัทว่าการลดลักษณะงานบางอย่างไม่ได้ทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานลดลงแต่อย่างใด) ภายใต้ความสมเหตุสมผลของราคาและการ ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพของโครงการ โดยราคาค่าก่อสร้างสุดท้ายเป็นราคาที่ต่ำกว่า ราคาซึ่ง CK ได้ยื่นเสนอเข้ามาในครั้งแรกจำนวน 36,078,000 บาทหรือเท่ากับร้อยละ 5.34 ของ ราคาที่ CK ยื่นเสนอในครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นราคาค่าก่อสร้างซึ่งต่ำกว่างบประมาณของโครงการ ซึ่งประเมินและจัดทำโดย Thai MM จำนวน 24,493,480 บาทหรือเท่ากับร้อยละ 3.69 ของ งบประมาณอีกด้วย 4.1.2 การวิเคราะห์ผลตอบแทนจากเงินลงทุน ตามทฤษฎีการหามูลค่าปัจจุบันสุทธิของกระแสเงินสดนั้นจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมก็ต่อเมื่อ 1) ข้อมูลประมาณการทางการเงินคำนึงถึงระยะเวลาของการเกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจใน อนาคตที่จะเกิดขึ้นจากกิจกรรมทางธุรกิจ และ 2) การประเมินมูลค่าดังกล่าวคำนึงถึงการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของกิจการ โดยปัจจัยที่มี อิทธิพลต่อความสามารถในการทำกำไรของกิจการสามารถประมาณการได้ค่อนข้างแน่นอนและ สมเหตุสมผล ในการประเมินมูลค่าปัจจุบันสุทธิของกระแสเงินสดของโครงการขยายกำลังการผลิตน้ำประปา ของบริษัทในครั้งนี้ เป็นการแสดงมูลค่าปัจจุบันของโครงการตามนโยบายการบริหารงานปกติเช่นที่ผ่าน มาในอดีต ดังนั้น สมมติฐานส่วนใหญ่ที่เลือกใช้จึงกำหนดขึ้นจากข้อมูลหรืออัตราส่วนทางการเงินที่ เกิดขึ้นจริงในอดีต รวมกับแผนการดำเนินงาน และ/หรือ นโยบายของบริษัทในอนาคต ทั้งนี้ หลักการในการประเมินมูลค่าปัจจุบันสุทธิของกระแสเงินสดของโครงการ ซึ่งที่ปรึกษา ทางการเงินนำมาใช้คำนวณมี ดังนี้ 1) ประมาณการกระแสเงินสดรับในอนาคตระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงปี 2577 ซึ่งเป็นปี สิ้นสุดอายุสัญญาซื้อขายน้ำประปา ซึ่งบริษัทได้ทำไว้กับ กปภ. ตามสัญญาซื้อขายน้ำประปาฉบับเดิม (โดยสมมติฐานสำหรับช่วงเวลานี้ ไม่คำนึงถึงสิทธิในการซื้อกิจการประปา เมื่อผู้รับสัมปทานได้ ดำเนินการไปได้กึ่งหนึ่งของอายุสัมปทานประกอบกิจการประปา) 2) ที่ปรึกษาทางการเงินจัดทำประมาณการกระแสเงินสดรับจ่ายสำหรับช่วงเวลาตามที่ระบุใน ข้อ 1 เฉพาะสำหรับการขยายกำลังการผลิตน้ำประปาในจำนวนเพิ่มขึ้นไม่เกิน 100,000 ลบ.ม./วัน 3) ประมาณการตามแบบจำลองในครั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของรายการรายได้จากการจำหน่าย น้ำประปา และต้นทุนขายน้ำประปา ใช้อัตราเงินเฟ้อคงที่ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี (แหล่งที่มา : ธนาคาร แห่งประเทศไทย ปรับปรุงล่าสุดวันที่ 11 พฤศจิกายน 2551 เรื่อง เครื่องชี้เศรษฐกิจมหภาคของไทย อัตรา เงินเฟ้อ ส่วนของดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน เฉลี่ยย้อนหลัง 30 ปี ประมาณร้อยละ 3.2) และ 4) ไม่มีการคิดคำนวณมูลค่าสุดท้าย (Terminal Value) ของโครงการ รวมทั้งมูลค่าของที่ดินใน วันสุดท้ายของประมาณการทางการเงินเมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาซื้อขายน้ำประปา สมมติฐานหลักที่ใช้ในการประเมินโครงการก่อสร้างส่วนขยายกำลังการผลิตมี ดังนี้ 1. ลูกค้าของบริษัท บริษัทดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายน้ำประปา ในพื้นที่ อ.นครชัยศรี อ.สามพราน อ. พุทธมณฑล ใน จ.นครปฐม และ อ.เมืองสมุทรสาคร อ.กระทุ่มแบน ใน จ.สมุทรสาคร ภายใต้สัญญาซื้อ ขายน้ำประปากับ กปภ. และมี กปภ. เป็นลูกค้าเพียงรายเดียวของบริษัท 2. รายได้จากการจำหน่ายน้ำประปา ที่ปรึกษาทางการเงินได้ประมาณอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้น โดยอิงตามอัตราเงินเฟ้อ (ที่ปรึกษา ทางการเงินตั้งสมมติฐานโดยประมาณการอัตราเงินเฟ้อในอัตราคงที่เท่ากับร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่ปี 2552 ถึงปี 2577 ซึ่งเป็นระยะเวลาสิ้นสุดอายุสัญญาซื้อขายน้ำประปา) โดยอัตราน้ำประปานับจากวัน เริ่มซื้อขายน้ำประปา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจ่ายน้ำให้กับ กปภ. ได้ภายหลังระยะเวลา 18 เดือน นับตั้งแต่เดือน มกราคม 2552 - มิถุนายน 2553 และสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในเดือนสิงหาคม 2553 (เป็นการประมาณการจากข้อมูลสรุปในเบื้องต้นของฝ่ายบริหารของบริษัท กับ กปภ. รวมทั้งรายงานการ ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2551) โดยอัตราค่าน้ำประปาที่เป็นฐานการคำนวณใน อัตราเท่ากับ 10.52 บาทต่อ ลบ.ม. (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยอัตราดังกล่าวจะปรับราคาทุกวันที่ 1 มกราคม ของแต่ละปี ตามประมาณการในครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสามารถสรุปเป็นตาราง ประมาณการอัตราค่าน้ำประปาได้ ดังนี้ ปีที่ อัตราค่าน้ำประปา (บาท ต่อ ลบ.ม.) หมายเหตุ 1* 10.52 เป็นฐานในการคำนวณ 2** 10.84 เพิ่มขึ้นจากปีที่ 1 ตามอัตราเงินเฟ้อ 3** 11.16 เพิ่มขึ้นจากปีที่ 2 ตามอัตราเงินเฟ้อ 4** 11.50 เพิ่มขึ้นจากปีที่ 3 ตามอัตราเงินเฟ้อ 5 - 26** 11.84 - 22.03 เพิ่มขึ้นจากปีที่ 4 - 25 ตามอัตราเงินเฟ้อ หมายเหตุ : * ปีที่ 1 หมายถึง เป็นฐานการคำนวณ ในประมาณการครั้งนี้เริ่มจากปี 2552 ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทกับ กปภ. สามารถได้ข้อสรุปภายในสิ้นปี 2551 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการส่วนขยายกำลังการผลิตได้ในต้นปี 2552 **ปีที่ 2 ถึงปีที่ 26 หมายถึง ปี 2553 ถึงปี 2577 ซึ่งเป็นปีสิ้นสุดอายุสัญญาซื้อขายน้ำประปา ซึ่งสอดคล้องกับสูตรการคำนวณอัตราค่าน้ำประปาในอดีต (รายละเอียดดูจากข้อ 2.1 ความเป็นมา หน้าที่ 9) โดยให้ค่าคงที่ในการปรับอัตราค่าน้ำประปา (K) มีค่าเท่ากับ 1 จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารของ บริษัท ทั้งนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินไม่ได้นำอัตราค่าน้ำประปาที่เกิดขึ้นจริงสำหรับปี 2551 ซึ่งอัตรา ค่าบริการเฉลี่ยอยู่ที่ 22.75 บาทต่อ ลบ.ม. (อัตราดังกล่าวอ้างอิงจากข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม ถึง ตุลาคม 2551) มาใช้เนื่องจาก การกำหนดราคาน้ำประปาอิงกับต้นทุน ซึ่งราคาน้ำประปาในส่วนที่ ขยายกำลังการผลิตจะต่ำกว่าสัญญาเดิม เนื่องมาจากต้นทุนในการก่อสร้างส่วนขยายกำลังการผลิตใน ครั้งนี้ ต่ำกว่ากว่าต้นทุนค่าก่อสร้างของบริษัทในอดีต ในการนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินได้ประมาณปริมาณการจ่ายน้ำประปานับตั้งแต่เริ่มดำเนินการผลิต ในปี 2553 ถึง 2577 เป็น 2 ทางเลือก ดังตารางข้างล่างนี้ ตารางประมาณการปริมาณน้ำประปาที่ใช้ในการประมาณการสำหรับส่วนขยายกำลังการผลิต ประมาณการปริมาณการผลิตและจำหน่ายน้ำประปาสำหรับการทำประมาณการ (หน่วย : ลบ.ม./วัน) ช่วงเวลา ประมาณการโดยผู้บริหารของบริษัท ประมาณการตามปริมาณน้ำขั้นต่ำ (เดือน / ปี) ภายใต้หลักความระมัดระวัง* ที่ กปภ. ต้องรับซื้อจากบริษัท** กรกฎาคม 2553 25,000 9,000 มกราคม - มิถุนายน 2554 35,000 18,000 กรกฎาคม - ธันวาคม 2554 45,000 มกราคม - มิถุนายน 2555 55,000 27,000 กรกฎาคม - ธันวาคม 2555 65,000 มกราคม - มิถุนายน 2556 75,000 36,000 กรกฎาคม - ธันวาคม 2556 85,000 มกราคม - มิถุนายน 2557 95,000 45,000 กรกฎาคม - ธันวาคม 2557 100,000 มกราคม - ธันวาคม 2558 100,000 54,000 2559 - 2577 100,000 100,000 หมายเหตุ : * ข้อมูลประมาณการทางการเงินจากบริษัทและพิจารณาปรับปรุงตามความเหมาะสมของที่ปรึกษาทางการเงิน โดย แสดงเป็นค่าเฉลี่ยต่อปีได้ ดังนี้ - ปี 2554 เฉลี่ยอยู่ที่ 40,041 ลบ.ม./วัน - ปี 2555 เฉลี่ยอยู่ที่ 60,041 ลบ.ม./วัน - ปี 2556 เฉลี่ยอยู่ที่ 80,041 ลบ.ม./วัน - ปี 2557 เฉลี่ยอยู่ที่ 97,521 ลบ.ม./วัน - ปี 2558 เฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 ลบ.ม./วัน (นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป ประมาณการอัตราการผลิตและจำหน่าย เฉลี่ยจะเท่ากับปริมาณน้ำขั้นต่ำที่ กปภ. ต้องรับซื้อจากบริษัทที่ 100,000 ลบ.ม./วัน) ** ข้อมูลประมาณการทางการเงินจากบริษัทเพื่อการพิจารณาในเบื้องต้นกับ กปภ. โดยที่ยังไม่มีการสรุปขั้นสุดท้าย ณ วันที่ที่ปรึกษาทางการเงินจัดทำประมาณการนี้ 3. ต้นทุนขายน้ำประปา ที่ปรึกษาทางการเงินประมาณการตามต้นทุนขายน้ำประปาที่เกิดขึ้นจริงในอดีตสำหรับกำลังการ ผลิตเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว และให้มีความสอดคล้องตามการคิดต้นทุนขายน้ำประปาที่ผ่านมา ซึ่งต้นทุน ขายน้ำประปาดังกล่าว ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ในการผลิตน้ำประปา และค่าจ้าง ผลิตน้ำประปาซึ่งแต่เดิมดำเนินการโดย วอเตอร์โฟลว์ ซึ่งครอบคลุม ค่าไฟฟ้า ค่าสารเคมี ค่าแรงงาน และวัสดุสิ้นเปลือง ต่อมาในปี 2549 บริษัทได้ควบรวม วอเตอร์โฟลว์ เข้ามาเป็นบริษัทย่อย และทำการ แก้ไขสัญญาการบริหารจัดการและการซ่อมบำรุง (Operation and Maintenance Agreement หรือ O&M) กับ วอเตอร์โฟลว์ ในเดือนเมษายน 2549 (รายละเอียดข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 2550 (แบบ 56-1) ข้อที่ 13 ข้อย่อยที่ 13.1.3 สรุปสาระสำคัญของสัญญาการบริหารจัดการและการซ่อม บำรุงและสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม) โดยปรับลดอัตราค่าบริการจาก 3.56 บาทต่อ ลบ.ม. ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายใน ส่วนทั้งหมดที่กล่าวไว้ข้างต้น (ดูรายละเอียดในข้อ 3.2 ค่าจ้างผลิตน้ำประปา) ดังนั้น การจัดทำประมาณ การสำหรับการขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้ ต้นทุนขายน้ำประปาจึงประกอบด้วย 3.1 ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ในการผลิตน้ำประปา ในการประมาณการครั้งนี้สินทรัพย์ที่ต้องบันทึกมูลค่าเริ่มแรกรับรู้โดยใช้ราคาทุนประกอบด้วย ราคาสินทรัพย์และต้นทุนทางตรงอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการจัดหาสินทรัพย์เพื่อให้สินทรัพย์อยู่ในสภาพพร้อมที่ จะใช้ได้ตามประสงค์ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ โดยภายใต้หัวข้อนี้จะไม่กล่าวถึง รายการที่ดิน เนื่องจากสินทรัพย์ดังกล่าวไม่ต้องนำมารวมเพื่อคำนวณ คิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ในการผลิตน้ำประปา แต่ในประมาณการได้รวมสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นจำนวน รวมอยู่ในมูลค่าสินทรัพย์รวมในการผลิตน้ำประปาเรียบร้อยแล้ว ตารางรายละเอียดสินทรัพย์รวมในการผลิตน้ำประปาตามประมาณการสำหรับการขยายกำลังการผลิต รายการสินทรัพย์ ต้นทุนของสินทรัพย์ ร้อยละต่อ (ล้านบาท) 1/ ต้นทุนสินทรัพย์ 1. การก่อสร้างในส่วนของงานโยธา 2/ วงเงินไม่เกิน 640 49.23 2. การก่อสร้างในส่วนงานด้านเครื่องกลและไฟฟ้าที่เกี่ยวกับ วิศวกรรม การจัดหา การก่อสร้าง และการเชื่อมต่อทั้งหมด 3/ วงเงินไม่เกิน 422 32.46 3. งานว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาในการบริหารโครงการ (Thai MM) 4/ 37.50 2.88 4. งานว่าจ้างที่ปรึกษาในส่วนเตรียมงานของบริษัท (Expert 1.67 Technologies Limited และ Sullivan Associates Company Limited) 4/ 21.59 5. โฉนดที่ดินเลขที่ 10457 จำนวน 10 ไร่ 2 งาน 54 ตร.ว. รวม ค่าปรับพื้นที่ (BP1) 5/ 34.73 2.67 6. โฉนดที่ดินเลขที่ 5324 จำนวน 14 ไร่ 3 งาน 64 ตร.ว. รวม ค่าปรับพื้นที่ (BP2) 5/ 61.65 4.74 7. ต้นทุนทางตรงอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการจัดหาสินทรัพย์ 4/ 82.53 6.35 รวมสินทรัพย์ในการผลิตน้ำประปา 1,300.00 100.00 หมายเหตุ : 1/ วงเงินลงทุนครั้งนี้ไม่เกิน 1,300 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากการเปิดเผยสารสนเทศการทำรายการต่อ ตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 24 และ 31 ตุลาคม 2551 ตามลำดับ 2/ ดำเนินการโดยบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) 3/ ดำเนินการโดยบริษัท ส.นภา (ประเทศไทย) จำกัด 4/ ประกอบด้วยข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงทางบัญชี และข้อมูลประมาณการทางการเงินจากบริษัท โดยพิจารณาปรับปรุง ตามความเหมาะสมของที่ปรึกษาทางการเงิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างที่ปรึกษา ซึ่งบริษัทต้องทยอยจ่ายใน อนาคตตามสัญญาว่าจ้าง เป็นต้น 5/ ข้อมูลรายการทางบัญชีของบริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 สำหรับการคำนวณค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ในการผลิตน้ำประปาของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ประมาณการตามสูตรการคำนวณการคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีในอดีตที่บริษัทเคยปฏิบัติมา ได้แก่ วิธี จำนวนผลผลิตโดยมีสูตรการคำนวณ ดังนี้ ค่าเสื่อมราคาสำหรับงวด = ต้นทุนสินทรัพย์ในการผลิตน้ำประปาสุทธิ ณ วันต้นงวด X อัตราส่วนการผลิตน้ำประปาสำหรับงวด โดยที่ อัตราส่วนการผลิตน้ำประปาสำหรับงวด เท่ากับ จำนวนผลผลิตน้ำประปาจริงสำหรับงวด / (จำนวนผลผลิตน้ำประปาจริงสำหรับงวด + ประมาณการจำนวนผลผลผลิตน้ำประปาในอนาคตจนถึงวันสิ้นสุด สัญญาซื้อขายน้ำประปา) ซึ่งวิธีการดังกล่าวข้างต้นนี้เป็นไปตามหลักการจับคู่รายได้และค่าใช้จ่าย (Matching) เนื่องจากค่าเสื่อม ราคาที่คำนวณได้จะมีความผันแปรไปตามปริมาณที่สามารถผลิตได้จริงในแต่ละงวด ทั้งนี้ ผู้บริหารของ บริษัทเห็นว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมกับลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัท 3.2 ค่าจ้างผลิตน้ำประปา จากผลจากการที่บริษัทเข้าซื้อ วอเตอร์โฟลว์ และได้ทำการแก้ไขสัญญา O&M ในปี 2549 ทำให้ ค่าจ้างผลิตน้ำประปาในปี 2550 เท่ากับ 0.258613 บาทต่อ ลบ.ม. (ตามข้อมูลจริงจากใบแจ้งหนี้) และ ในปี 2551 เป็น 0.267226 บาทต่อ ลบ.ม. โดยครอบคลุมเฉพาะค่าแรงงานและค่าวัสดุสิ้นเปลืองในการ ผลิตน้ำประปาเท่านั้น ซึ่งบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าไฟฟ้าและค่าสารเคมีในการผลิตเอง โดยที่ปรึกษา ทางการเงินประมาณการต้นทุนดังกล่าวสำหรับในส่วนของการขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้ ให้สอดคล้อง กับการเรียกเก็บค่าจ้างผลิตน้ำประปาของ วอเตอร์โฟลว์ ซึ่งตามใบแจ้งหนี้สำหรับเดือนกันยายน 2551 เท่ากับ 0.267226 บาทต่อ ลบ.ม. โดยตั้งสมมติฐานว่าจะเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อในอัตราคงที่ที่ร้อยละ 3 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2577 3.3 ค่าไฟฟ้า สำหรับการประมาณการค่าไฟฟ้า ที่ปรึกษาทางการเงินได้ใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเป็นฐานในการ พิจารณา โดยที่ในปี 2549 2550 และเดือนมกราคม - กันยายน ปี 2551 บริษัทมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยต่อ ลบ.ม. เท่ากับ 1.22 1.51 และ 1.51 บาทต่อ ลบ.ม.ตามลำดับ ทั้งนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินประมาณค่าไฟฟ้าในปี 2551 เฉลี่ยเท่ากับ 1.50 บาทต่อลบ.ม. ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยใน 9 เดือนแรกของปี 2551 เป็นฐานการประมาณในการพิจารณาตามรายละเอียดของค่าใช้จ่าย สำหรับงบการเงินเฉพาะของ บริษัท และตั้งสมมติฐานว่าค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อในอัตราคงที่ที่ร้อยละ 3 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2577 3.4 ค่าสารเคมี สำหรับการประมาณการค่าสารเคมี ที่ปรึกษาทางการเงินได้ใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเป็นฐานใน การพิจารณา โดยที่ในปี 2549 2550 และเดือนมกราคม - กันยายน ปี 2551 บริษัทมีค่าสารเคมีเฉลี่ยต่อ ลบ.ม. เท่ากับ 0.57 0.62 และ 0.49 บาทต่อ ลบ.ม. ตามลำดับ ทั้งนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินประมาณค่า สารเคมีในปี 2551 เฉลี่ยเท่ากับ 0.50 บาทต่อ ลบ.ม. ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับค่าสารเคมีเฉลี่ยใน 9 เดือนแรกของปี 2551 เป็นฐานการประมาณในการพิจารณาตามรายละเอียดค่าใช้จ่ายสำหรับงบการเงิน เฉพาะของบริษัท และตั้งสมมติฐานว่าค่าสารเคมีเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อในอัตราคงที่ที่ร้อยละ 3 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2577 3.5 ค่าอะไหล่และชิ้นส่วนอุปกรณ์ ค่าซ่อมแซมโรงกรองน้ำ สถานีจ่ายน้ำและระบบจ่ายน้ำ รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวข้องกันในการผลิต โดยที่ต้นทุนโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 10.00 14.81 ล้านบาท และ 31.89 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับปี 2549 2550 และเดือนมกราคม - กันยายน 2551 ตามลำดับ ต้นทุนดังกล่าวเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้น จริงตามรายละเอียดค่าใช้จ่ายสำหรับงบการเงินเฉพาะของบริษัท ซึ่งใช้เป็นฐานในการพิจารณา นอกจากนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวต้นทุนโดยรวมใน 9 เดือนแรกของปี 2551 ซึ่งปรากฏ ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเฉพาะในเดือนกันยายน 2551 มีจำนวน เท่ากับ 19.71 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้การตั้งสมมติฐาน ซึ่งคำนึงถึงหลักความระมัดระวังเป็นสำคัญใน การประมาณการในต้นทุนดังกล่าว จึงใช้ฐานการพิจารณาสำหรับปี 2551 เฉพาะเดือนมกราคม - สิงหาคม ซึ่งเท่ากับ 11.20 ล้านบาท เท่านั้น ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยสำหรับต้นทุนรวม 2 ปี 8 เดือนประมาณ 13.49 (ยังมีต่อ)